Friday, October 26, 2007

The Pruta Boy






:: http://theprutaboy.blogspot.com ::

Friday, October 19, 2007

The End of Space

งานจบของวิชา Communication Design ผ่านไปแล้วแต่ก็ยังไม่ได้นำงานมาลงและอธิบายเป็นเรื่องเป็นราวสักทีดูเหมือนพื่นที่ของตัวเองกำลังลดลงเรื่อยๆทั้งที่เวลาก็มีพอที่จะทำสิ่งต่างๆอีกมากมายรู้สึกว่าวันวันนึงผ่านไปอย่างรวดเร็วจนบางครั้งตื่นขึ้นมาก็มักจะคิดเอาเองว่าวันนี้ผ่านไปแต่เราไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์กลับคืนมาเสียเลย และเวลาของการใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาก็กำลังจะหมดลงพื่นที่ว่างของตัวเองกำลังลดไปทีละน้อยได้แต่พยายามจะทำให้วันวันนึงผ่านไปโดยที่น่าจะได้อะไรที่เป็นประโยชน์กลับมาบ้าง

Wednesday, August 8, 2007

The Pruta Boy


>>

ความเป็นมาของ Pruta Boy

เมื่อตอนผมเรียนอยู่สักอืม...ปี2(น้าจะจำไม่ผิด) ในวิชาภาพประกอบซึ่งน่าจะเป็นวิชาที่ผมค้อนข้างชอบเป็นพิเศษ ได้ให้โจทย์ในการทำงาน1ชิ้นคือให้เราสร้างคาแรกเตอร์ขึ้นมาโดยให้แต่งเรื่องและความเป็นมาของคาแรกเตอร์ที่เราจะวาดนั้นขึ้นมาเอง ซึ่งคาแรกเตอร์นั้นต้องมีทั้ง2อารมณ์ คือด้านดีและด้านไม่ดีและนั้นก็คือที่มาของ Pruta Boy

>>

Pruta Boy ก็เป็นเด็กธรรมดาที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ แต่ที่ไม่ธรรมดาคือ แม่ของเค้านั้นเป็นนักบินอวกาศขององค์การนาซาซึ้งครั้งหนึ่งแม่ของเค้าได้ขึ้นไปบนดาวพลูโตและได้พบกับมนุษย์ต่างดาวบนนั้นมนุษย์ต่างดาวได้ช่วยชีวิตแม่ของเค้าไว้และทั้ง2ก็รักกันและก็...กัน ซึ่งมนุษย์ต่างดาวก็คือพ่อของ พลูต้านั้นเอง ชื่อพลูต้าจึงมาจากการผสมระหว่างพ่อที่อาศัยอยู่บนดาวพลูโต กับแม่ที่ทำงานองค์การนาซา จึงได้เป็น "พลูต้า"

พลูต้าเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ไม่สมประกอบนักเค้ามีนิ้วมือเพียงสามนิ้วเหมือนพ่อที่เป็นมนุษย์ต่างดาว นั้นคือปมด้อยในชีวิตของเค้า เค้ามักจะถูกทุกคนล้อว่าเค้าเป็นตัวประหลาดและเมื่อทุกครั้งที่เค้าโกรธ เค้าจะสั่งน้ำมูกสีเขียวออกมาใส่ทุกคนที่ทำให้เค้าโกรธและเค้าก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มีสิ่งเดียวที่ทำให้เค้าสบายใจและไม่คิดอะไรคือ"ถั่ว" เค้าจะต้องมีถั่วเสมอเพราะเมื่อเค้ากินถั่วจะทำให้เค้าสบายใจเมื่อมีคนมาล้อเค้าเค้าก็จะไม่รู้สึกโกรธนั้นก็จะไม่ทำให้เค้าสั่งน้ำมูกออกมาซึ่งนั้นก็เป็นการกระทำที่ตัวเค้าไม่ชอบเอาซะเลย

>>

( นี่คือความเป็นมาของพลูต้า ไม่รู้ว่าในตอนนั้นคิดเรื่องแบบนี้ออกมาได้ไง รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กๆที่มาเพ้อเจ้ออะไรก็ไม่รู้ แต่พอมาถึงตอนนี้ผมนั่งมองดูและกลับมาคิดอีกที ในความคิดผมผมว่าคนทุกล้วนแล้วแต่มีปมด้อยมีข้อบกพร่องหรือข้อเสียในตัวเองกันทุกคน แล้วแต่ว่าทุกคนจะจัดการกับมันยังไงบางคนอาจจะปกปิดปมด้อยหรือข้อบกพร่องของตัวเองโดยการแสดงสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อทำให้เห็นว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ นั้นก็คือการแก้ปัญหาหรือจัดการกับข้อเสียของตนเองซึ่งการแก้ปัญหานั้นควรจะต้องเป็นวิธีที่ไม่ทำให้ตัวองแย่ลงกว่าที่เป็น แต่จะเป็นวิธีอะไรนั้น ก็คงขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละคนไปนั้นเอง)






























>>

"ทั้งที่งานก็เยอะแต่ยังไม่ทำเอาเวลามาทำอะไรก็ไม่รู้" แต่สิ่งที่ผมทำไม่รู้ว่ามันดีไม่ดีแต่ก็ยังรู้สึกมีความสุขและก็อินไปกับมันทุกครั้งที่ทำ แค่อย่างน้อบ1วันได้ทำสัก1ชิ้นผมว่ามันดีที่เราไม่หยุดที่จะทำอะไรที่เราชอบสักอย่าง บางคนบอกว่าชอบอันนั้นอันนี้แต่ไม่ทำ แต่ก็ว่าคนอื่นไม่ได้เพราะตัวเราเองก็ไม่ได้ดีมากมายอะไร

เราก็คงเป็นแค่ " Pruta Boy" ^^...










Wednesday, August 1, 2007

I Dream 3 " White Project "

>>





:: Apple Thailand ร่วมกับ คณะศิลปกรรมศาสตร์ ได้มีโครงการดีๆ เป็นโครงการประกวดการทำหนังสั้น ที่เปิดโอกาสให้กับเด็กๆมัธยมได้โชว์ฝีมือกัน

>>

:: Poster by Dusadee Boonchaisri ::

System เวลาและระบบการเดินทาง ( update )

> หลงัจากงานที่ได้ทำเรื่องเวลาระบบการเดินทาง เมื่อได้กร๊าฟหรือตารางที่ได้กำหนดเวลาในแต่ละวันแล้วหลังจากนั้นก็ได้ทำการบันทึกการเดินทางของตัวเองเป็นเวลา 1 เดือน และก็ถึงเวลาที่จะต้องมาแจกแจงแยกแยะและวิเคราะห์ข้อที่ได้เสียที




^ :: เมื่อได้ข้อมูลจากการบันทึกเรื่องเวลาและการเดินทางในวันวันนึงแล้ว ก็จะมีอีก3เรื่องเข้ามาเกี่ยวข้องซึ้งผมคิดว่ามันน่าสนใจและก็สามารถเป็นประโยชน์ต่องาน คือ เรื่องของพาหนะที่ใช้เดินทางเรื่องของเงินที่ใช้ไปในการเดินทางในแต่ละครั้งและเรื่องของระยะทางในการเดินทางก็ได้มีการจดบันทึกไว้ด้วย และก็นำข้อมูลที่ได้มาแทนค่าลงในตารางที่ได้กำนดขึ้น โดยการใช้สีต่างๆเป็นตัวแบ่งชนิดของยานพหะนะที่ได้ใช้เดินทางในแต่ละครั้ง สีที่ใช้แทนค่าอาจจะยังอ้างอิงไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องเป็นสีนั้นๆ จึงได้กำหนดขึ้นมาเองคร่าวๆเพื่อทำให้เห็นความแตกต่างของการเดินทางได้อย่างชัดเจน และแถบสีก็จะมีความยาวตามระยะเวลาของการเดินทางว่าใช้เวลาในการเดินทางไปกี่นาทีในแต่ละครั้ง และมีการบอกกำกับอีกว่าการเดินทางในหนึ่งครั้งนั้น ใชเงินไปเท่าใด และเดินทางไปได้ระยะทางเท่าไหร่

^ :: ข้อมูลทั้งหมดที่จดบันทึกมาและนำลงมาแทนค่าลงในตาราง

^ :: ข้อมูลสรุปทั้งหมด คือ ในหนึ่งเดือนที่ทำการบันทึกข้อมูลนั้น ได้เดินทางจริงๆทั้งหมดเพียง 16 วัน ใช้เงินไปทั้งหมดในการเดินทางเท่ากับ 2228 บาทได้ระยะทางในการเดินทางรวมทั้งหมด 2116.11 กม. ( โดยประมาณ ) ดังนั้น คิดหารเฉลี่ยก็จะได้ คือเงิน 1 บาท สามารถเดินทางได้ระยะทางประมาณ 0.95 กม. หรือ ประมาณ 949.78 เมตร ใช้เวลาเดินทางไปรวมทั้งหมด 2775 นาที หรือ 46 ชม. 15 นาที ดังนั้น การหาค่าเฉลี่ยได้อีกคือ เงิน 1 บาท สามารถเดินทางได้ระยะทางประมาณ 0.95 กม. หรือ ประมาณ 949.78 เมตร โดยใช้เวลาประมาณเพียง 1.25 นาที



^ ::เมือนำตางรางขอมูลที่ได้มาวางต่อกันตามลำดับในแนวนอนและถอดเส้นตารางออก ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ผมว่ามันมีความน่าสนใจเท่าทีควรแต่ก็อาจจะเป็นเพียงก้าวแรกของการทำงาน ซึ้งต้องนำผลที่ได้นี้ ไปประยุกต์และพัฒนาออกมาเป็นงานอีกในขั้นต่อไป





^:: เมือนำตางรางขอมูลที่ได้มาวางต่อกันตามลำดับในแนวตั้งและถอดเส้นตารางออก ก็จะได้ลักษณะที่ต่างไปกับการต่อกันในแนวนอน

Tuesday, July 10, 2007

System เวลาและระบบการเดินทาง

จากคำว่า System ก็ทำการตีความหมายของมันว่ามันหมายถึงอะไร system หมายความว่า ระบบและในความเข้าใจของตัวเองระบบมีอยู่ในทุกทุกที่ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือแม้กระทั้งเราตื่นนอนมาก็จะเริ่มระบบของการดำเนินชีวิตแล้ว ดังนั้นผมเลยคิดว่าจริงๆเรื่องที่ไกล้ตัวที่เรามองข้ามไปเนี่ยแหละมันมีความน่าสนใจพอที่จะนำมานำเสนอออกมาเป็นงานได้ ก็เลยเริ่มมองจากตัวเอง จริงๆแล้วตัวเราเองก็มีระบบอะไรต่างๆมากมายที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเราเอง
ผมเลยสนใจเรื่องระบบการเดินทางในแต่ละวันของตัวเอง ว่าในหนึ่งวันเราเดินทางโดยใช้เวลาไปเท่าไหร่และเดินทางโดยใช้พาหนะอะไรบ้างหรือว่าในวันนึงเราใช้เงินไปเท่าไหร่กับการเดินทาง งานนี่ทำไปเพื่อใช้ตัวเองเป็นตัวนำเสนอข้อมูลให้คนอื่นได้เห็นถึงความสำคัญของการเดินทางหรืออาจจะได้รู้ถึงว่าใช้อะไรเดินทางที่จะทำให้ถึงจุดหมายได้เร็วที่สุดหรือเงินที่เสียไปเราได้ระยะทางในการเดินทางทั้งหมดเท่าไหร่





>> เริ่มจากเริ่มบันทึกว่าตั้งแต่ออกจากบ้านเราใช้เงินไปเท่าไรกับการเดินทางใช้เวลาเท่าไหร่จากการเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งและรวบรวมข้อมูล





^ เป็นตารางที่ทำขึ้นเพื่อบอกเวลาที่ได้เดินทางในแต่ละช้วงแนวตั้งคือ ชั่วโมง วันนึงมี24ชั่วโมง แนวนอนคือ1ชั่วโมงมี 60 นาที ส่วนที่เป็นแถบสีต่างๆคือเวลาในการเดินทางในแต่ละช้วงบอกว่าเราเดินทางตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง และสีอาจแทนถึงพานะได้ด้วย





^ เป็นตารางในแนวตั้งที่เปลี่ยนเป็นแกนในแนวนอนคือชั่วโมงมี 24 ชั่วโมง แนวตั้งคือนาที 1 ชั่วโมงมี60 นาที

Friday, June 22, 2007

Thursday, June 14, 2007

Pocket Book





>>

เป็นอีกหนึ่ง Assignment ในวิชาออกแบบสิ่งพิมพ์ในการเรียนปี3 ซึงมีโจทย์ให้ทำหนังสือ pocketbook โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และก็ชอบงานสิ่งพิมพ์เอามากๆผมจะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อซื้อหนังมาใหม่และก็รุ้นว่าแต่ละหน้าที่เราเปิดจะเป็นยังไงมีอะไร และเมื่อได้ทำงานที่เกี่ยวกับสิ่งมีก็จะรู้สึกดีจะรู้สึกสนุกไปกับมัน และงานนี้ผมทำ pocketbook ที่เกี่ยวกับเรื่องธรรมะ จริงโดยส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ได้ชอบทำบุญเข้าวัดและจะไม่ค่อยสนใจอะไรที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเท่าไรและก็เชื่อว่ามีหลายๆคนที่คิดเช่นนี้เรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนในวัยเดียวกับผมพูดถึงและนำมาทำงาน แต่พอผมได้ลองอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็พบว่าจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากมันมีทั้งเรื่องที่ผมเห็นด้วยและก็เรื่องที่ผมไม่เห็นด้วย และนี้คือจุดเริ่มต้นที่ผมหยิบเอาเรื่องนี้มาทำ...

>

และหนังสือที่ผมเลือกมาพัฒนาไหม่ก็คือหนังสือเกี่ยวกับธรรมะที่มีชื่อว่า " ศาสนา ดนตรี กวี ศิลปะ " เนื้อหาในหนังสือจะเกี่ยวกับการเปรียบเทียบเรื่องของ ดนตรี กวี และศิลปะในสมัยก่อนกับปัจจุบันว่า ดนตรีหรือศิปะในปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องที่แย่ไม่สวยงามเหมือนในสมัยก่อนซึ่งโดยสวนตัวผมไม่เห็นด้วยกับเนื้อความที่เขียนในหนังสือนี้ผมแท้บไม่อยากอ่านต่อ และผมก็มาคิดดูว่าเนี่ยแหละคือความน่าสนใจของการทำหนังสือเล่มนี้มันก็คือเหมือนคำสอนในศาสนานันแหละว่าทุกสิ่งทุกอย่างมี2ด้านเสมอ มีดีชั่ว ถูกผิด มีขาวมีดำ มันอยู่ที่ตัวเราเองว่าเรามีความคิดหรือทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างไร ในความคิดของผมธรรมะก็เหมือนการฟังเพลงการฟังเพลงมันทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายสบายใจ เพลงที่คนแต่ละคนฟังอาจจะเป็นเพลงคนละประเภทคนละแบบกันแต่มันก็ให้ผลที่เหมือนกัน

>

เมื่อผมมานั่งดูงานนี้มันทำให้ผมคิดว่าผมยังอยากทำและก็อยากพัฒนางานนี้ต่อไปพอย้อนกลับมาดูก็รู้ว่าเราวิธีคิดของเรามันยังน้อยและก็มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่มันน่าจะพัฒนาต่อไปได้ผมว่ามันถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับมาย้อนดูตัวเองดูสิ่งที่เราทำไปว่ามันใช้แล้วหรือเปล่าหรือบางทีผมอาจจะไม่ต้องไปค้นหาเรื่องอะรที่มันมากมายไกลตัวเลยแค่มารื้อสิ่งเก่าๆของตัวเราเองนี้แหละผมว่ามันน่าสนใจมากแล้ว...

Wednesday, June 13, 2007

My Illustrate

งานภาพประกอบเป็นงานที่ผมชื่นชอบที่สุดมันอาจจะเป็นงานที่ดูธรรมดาสำหรับคนอื่นอาจเป็นสิ่งที่มีคนทำไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร แต่ผมก็ยังชอบและก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ จริงๆที่เรียนคือเน้นหนักไปทางด้านการออกแบบ Communication Design แต่เมื่อได้เรียนมาเรื่อยๆผ่านการทำงานฝึกงานและก็เริ่มรู้สึกว่างานที่เป็นการค้าเน้นการขายมันไม่เหมาะกับตัวเองเท่าไหร่แต่จริงๆก็ทำได้แต่พอทำไปๆก็จะค่อนข้างรู้สึกเบื่อกับปัจจัยต่างๆมากมายมันอาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับคนที่ทำงานด้านนี้อย่างจริงจังบางทีก็กลับมานั่งย้อนมองดูตัวเองคิดว่าหรือจริงๆเราเป็นคนเอาแต่ใจต้องการแต่ความเป็นตัวเอง แต่จริงๆแล้วก็ไม่ใช้ซะทีเดียว... ผมมานั่งมองและก็กลับมาชื่นชม Artist ดังๆที่เค้าทำงานเพื่อรับใช้ความต้องการของตัวเองและก็สามารถทำให้คนอื่นชื่นชมและยอมรับในความเป็นตัวตนของเค้าเอง และก้ซื้องานของเค้าเพราะความชอบจริงๆ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเรื่องอยากในการทำงานในสายงานออกแบบมากๆเพราะบางทีเราต้องคำนึงถึงสิ่งต่างมากมาย จนบางทีงานมันก็ออกมาเป็นงานที่เรียกได้ว่าแย่คนนั้นต้องการแบบนี้คนนี้ต้องการแบบนั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราทำงานออกมาแล้วและทำให้คนอื่นยอมรับได้โดยที่เราสามารถเอาชนะเงื่อนไขต่างๆได้นั้นมันคงเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ

>>