Tuesday, November 18, 2008

...

Monday, September 8, 2008

Surprised

Tuesday, August 26, 2008

ModernDog Website

http://www.moderndog.biz/







Firstroyal Factory





ที่มาการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ ๑ (ฝาง)

สืบเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกฝิ่นกว่า ๔๐ ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดปัญหาอันใหญ่หลวงตามมาอีกมากมาย เช่น ปัญหาป่าต้นน้ำถูกทำลาย ดินเสื่อมสภาพ การย้ายแหล่งทำกินบ่อยๆและมหันตภัยยาเสพติดที่มีผลกระทบต่อประชาคมโลกในสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวิสัยทัศน์ที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างบูรณาการโดยยึดหลักในการคิดที่พระราชทานให้ใช้คือ“คิดใหญ่ๆ ทำเล็กๆ” จึงเป็นต้นกำเนิดแห่ง “โครงการหลวง”

นอกจากนั้น ยังเป็นการนำเสนอแนวพระราชดำริให้คิดอย่างถี่ถ้วนครบวงจรจนก่อให้เกิดการก่อสร้างโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ ๑ (ฝาง) เพื่อแปรรูปผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคผลสด และการก่อตั้ง บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหารจำกัด เพื่อทำการตลาดของผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรรูปของโรงงานหลวงฯจะเห็นได้ว่าแนวพระราชดำริที่พระราชทานมาทั้งหมดไม่เพียงมุ่งหวังที่จะช่วยเหลือชาวไทยภูเขาให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเท่านั้นแต่ยังส่งผลให้คนไทยทั้งประเทศดำรงชีวิตอย่างสงบสุข สอดคล้องกับพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะ “ช่วยชาวเขาช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก” โดยเรื่อราวทั้งหมดนี้ จะเล่าผ่านนิทรรศการต่างๆ ภายใน “พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงที่ ๑ (ฝาง)” ซึ่งเป็นโรงงานหลวงแห่งแรกของพระองค์


http://www.firstroyalfactory.org/main.php

novelty part III




Thursday, March 20, 2008

Yeah !




^ งานนิทรรศการแสดงผลงานสุดท้ายก่อนที่จะจากการเป็นนักศึกษา จากโครงการที่จะทำหนังสือเพื่อแสดงความแตกต่างของดนตรีด้วยภาพ ได้กลายมาเป็นชิ้นผลงาน3มิติที่มีการแทนค่าและผ่านกระบวนการคิดและตีความจากดนตรีออกมาเป็นรูปทรงที่สามารถจับต้องได้และใช้คุณสมบัตรของวัสดุแต่ละชนิดมาแทนดนตรีแต่ละประเภทดนตรีบลูจะเป็นเหล็กที่พ่นสีดำเปรียบเสมือนความหม่นเศร้าของคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงจนได้กลายมาเป้นดนตรีบลูย์ อะคิลิคใสแทนดนตรีแจ็สที่สามารถอิมโพไวท์ไปตามอารม์ของผู้เล่นไม่ตายตัว และเหล็กแทนความเป็นดนตรีร็อก











ระหว่างการแสดงงานมีหลายคนมาถามว่าชิ้นงานนี้มันคืออะไรสามารถนำไปใช่ทำอะไรได้หรือไม่คำตอบของผมคือไม่ได้...ความคิดที่เกิดขึ้นในหัวณ วินาทีนั้นก็คิดว่าคนที่ตั้งคำถามคงจะคิดว่าแล้วทำมาทำไมในเมื่อนำไปใช่ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้.
ภาควิชาที่เรียนคือสาขาcommunication design หรือออกแบบสื่อสารการสื่อสารคือการที่ต้องทำให้คนอื่นเข้าใจว่าสิ่งที่เราต้องการบอกคืออะไร ทำเพื่ออะไร ทำไปให้ไคร และทำไปทำไม แต่งานที่แสดงอาจจะทำให้หลายคนเกิดคำถามว่าแล้วจะทำไปทำไม
แต่ก็อาจจะเหมือนดนตรี คนทำดนตรีขึ้นมาเพื่ออะไร ทำไปให้ไคร และทำไปทำไม ดนตรีมีประโยชน์จริงหรือ? ในความคิดของผม สิ่งที่ทุกคนได้รับประโยชน์จากดนตรีคือ ความรู้สึก เท่านั้นเอง ดนตรีก็คือศิลปะ เพลงหนึ่งเพลงอาจไม่ไพเราะสำหรับคนทุกคน ดนตรีไม่สามารถกำหนดความรู้สึกแต่มันสามารถทำให้เกิดความรู้สึกได้









Form Of Music







Degree Project

> โครงการออกแบบหนังสื่อที่แสดงความแตกต่างของดนตรี บลูย์ แจ็ส และร็อกแอนด์โรล <
ที่มาของโครงการเริ่มจากการที่ชื่นชอบการฟังเพลงและเล่นตนตรี(กีต้าร์) แนวเพลงที่ชอบคือร็อคแอนด์โรล ที่มาของดนตรีร็อคพัฒนามาจากดนตรีบลู์ และแจ็ส และได้พัฒนากลายเป็นดนตรีอีกหลากหลายประเภทจนเราอาจจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าดนตรีที่เราฟังเรียกว่าดนตรีประเภทไหน
และเมื่อพูดถึงดนตรี คนเราสามารถรับรู้หรือสัมผัสดนตรีได้จากการรับฟังและทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆ จึงอยากทำให้ดนตรีกลายเป้นภาพเพื่อทำให้ดนตรีกลายเป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ หรืออาจจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้คนเข้าใจลักษณะของดนตรีแต่ละประเภทได้ง่ายขึ้น
โดยการนำหลักการของโน็ตดนตรีค่าจังหวะของตัวโน๊ตและหลักการและวิธีการเล่นกีต้าร์มาเป้นหลักในการออกแบบ

Tuesday, February 5, 2008

สีที่(คุณคิดว่า)มีเพศ


สีชมพู ว้าย! เป็นผู้ชายใส่ได้ไง ความจริงสีชมพูเพิ่ง “กลาย” เป็นสีที่คนเชื่อมโยงถึงความเป็นสตรีเพศตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนหน้านั้นไม่นาน สีชมพูยังถือเป็นสีสำหรับบุรุษ (ถูกมองว่าเป็นสี “แดงอ่อน”) และคำว่า “pink” เพิ่งเริ่มมีใช้ในยุคศตวรรษที่สิบเจ็ด เมื่อถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ลัทธินาซีใช้สัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีชมพูสื่อถึงเกย์ หรือชาวรักร่วมเพศ ซึ่งอาจเป็นที่มาของการเชื่อมโยงสีชมพูเข้ากับความเป็นเพศหญิง

สีฟ้าเป็นหนึ่งในแม่สี แต่เป็นสีที่หายากที่สุดในธรรมชาติ สมัยโบราณถูกเรียกเป็นสีดำชนิดหนึ่งจนถึงช่วงเวลาราวๆ 5,000 B.C. สีฟ้าเป็นสีที่มีความหมายและนัยยะหลากหลาย นอกจากเป็นสี “ผู้ชาย” สีฟ้ายังเป็นสีของความสดใสร่าเริง แต่ก็เป็นสีของความเศร้าหม่น (ในความหมายของภาษาอังกฤษ เช่น “the blues”, ดนตรีบลูส์) ปิกัสโซเคยมียุคงานจิตรกรรมสีฟ้า (”the Blue Period”) นักเขียนอเมริกัน วิลเลี่ยม แกสส์ (William Gass) เคยเขียนหนังสือความเรียงทั้งเล่มชื่อ On Being Blue ฯลฯ


แม้แต่สีก็มีนัยยะทางวัฒนธรรมและการเมืองที่คนสร้างขึ้นเอง และเปลี่ยนไปตามยุคสมัยทั้งนั้น เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆที่เรามักปักใจว่า “เป็นจริง” ทั้งๆที่มันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน
(ป.ล. อ่านข้อมูลเรื่องสีชมพู/สีฟ้า จากนิตยสาร print ฉบับ July/August เดี๋ยวนี้นิตยสารเล่มนี้ดีขึ้นเยอะ หลังจากไม่ได้อ่านมานาน เป็นไปได้ว่้าเปลี่ยนทีมงานหรืออะไรสักอย่าง อาจจะเปลี่ยนมานานแล้วแต่คนอ่านเชยเอง)

^ บทความจาก typhoonkoon.wordpress.com

Sunday, February 3, 2008

วันที่ 1 มกราคม

วันที่ 1 มกราคม

แทบทุกวันที่ 1 มกราคม ผมมักได้ยินใครหลายคนเอ่ยว่า “นี่ฉันแก่ลงไปอีกปี” ราวกับว่า 1 มกราคมเป็นวันที่มีคุณสมบัติพิเศษ สามารถทำให้คนเราแก่ลงไปได้ทันใด

ที่น่าแปลกก็คือผู้ที่เอ่ยประโยคนี้มักเป็นคนหนุ่มสาว
ที่แปลกกว่าก็คือคนที่พ้นวัยหนุ่มสาวมานานจำนวนมากกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
ผู้หญิงบางคนบอกผมว่า “ผู้ชายมักไม่ค่อยกลัวความแก่ เพราะผู้ชายแก่ไม่เป็นไร ผู้หญิงแก่ไม่น่าดู”
ตรองดูแล้วก็ไม่รู้ว่านี่เป็นตรรกแบบใด เพราะไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่อยากแก่ทั้งนั้น
ใครเล่าอยากจะมีรอยตีนกาเต็มหน้า ผิวย่น แรงน้อยลง ลงพุง สายตายาว ผมสีเทา ขี้ลืม จำชื่อคนผิดๆ ถูกๆ ?
หรือที่แย่กว่านั้นก็คือ ยังไม่ทันมีรอยตีนกาเต็มหน้า ผิวย่น ฯลฯ ก็รู้สึกแก่แล้ว
บางทีความแก่เกิดขึ้นที่ใจของเราก่อนในร่างกาย
และบางทีมนุษย์มีทางเลือกสองทาง จะแก่ทางกายอย่างเดียว หรือจะแก่ทั้งกายทั้งใจ

อิเหม่ยเป็นครูชาวจีนคนหนึ่ง บ้านของเธออยู่ที่เซี่ยงไฮ้ เธอตั้งบล็อกสอนภาษาญี่ปุ่นฟรีแก่เด็กหนุ่มสาว อิเหม่ยมีลูกเล่นการสอนมากมาย บล็อกของเธอจึงมีคนมาเยือนมาก

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงจีนคนหนึ่งตั้งบล็อกสอนภาษาญี่ปุ่น ที่แปลกอาจเป็นเพราะเธออายุแปดสิบกว่าแล้ว
อิเหม่ยบอกว่าเธอชอบสอนคนหนุ่มสาวมากกว่าคนแก่ มันทำให้เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกคนหนุ่มสาว

“เมื่อฉันอยู่กับคนแก่ ฉันมักรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างวัยอย่างใหญ่หลวง เพราะพวกเขามักมีทัศนคติแบบเก่าในการมองสิ่งต่างๆ และดูเหมือนจะหมดแล้วซึ่งแรงกระตุ้นความปรารถนาในชีวิต...”

อิเหม่ยบอกว่า “ใครบอกว่าคนแก่ต้องอยู่กับบ้านและนั่งเฉยๆ ฉันมักมีความอยากทำโน่นทำนี่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัยรุ่นที่ยังมีความใฝ่ฝัน และพลังงานที่ฉันสามารถร่วมด้วย...

“ฉันมีชีวิตที่ยุ่งและมีความสุข ฉันรู้สึกว่าฉันเต็มไปด้วยพลัง”

อิเหม่ยมิใช่คนวัยเกินแปดสิบคนเดียวที่ยังไม่ยอมหยุดรอความตาย ผมเคยอ่านพบเรื่องราวของผู้หญิงแก่หลายคนเริ่มเรียนเปียโนเมื่ออายุแปดสิบ คุณตาคุณย่าคุณยายบางคนเล่นกอล์ฟและเต้นรำบอลรูม บางคนเริ่มเขียนหนังสือ บางคนเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย
คนเหล่านี้ไม่เชื่อว่า เมื่ออายุหกสิบก็จงเกษียณ อยู่บ้านเลี้ยงหลาน เข้าวัดเข้าวา และเตรียมตัวตาย
คนเหล่านี้เชื่อว่าชีวิตมีค่าเกินกว่าที่จะผ่านไปวันๆ
หลายคนยุ่งเสียจนเลือกที่จะนอนน้อยลง เพราะรู้สึกว่ายังมีเวลานอนอีกมากหลังจากหมดลมไปแล้ว
ชีวิตที่ดีไม่ใช่อยู่ที่ระยะเวลาที่ยาวกว่า มิได้อยู่ที่ปริมาณเงินตราที่มากกว่า แต่อยู่ที่คุณภาพ
มองโลกในแง่ดีจะพบว่าตัวเลขวัยที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่คำสาปแช่ง หากแต่เป็นคำอวยพร ทำให้ฉลาดขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น
แต่ความจริงก็คือไม่ทุกคนฉลาดขึ้นเมื่อวัยสูงขึ้น คนที่แก่อย่างมีคุณภาพคือคนที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง เป็นพวกชอบ ‘หาเรื่อง’ คือมีกิจกรรมให้ทำตลอดเวลา ไม่ยอม ‘แก่เพราะกินข้าว’
ส่วนการแก่ทั้งกายทั้งใจมิได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนแก่จริงๆ เท่านั้น คนหนุ่มสาวจำนวนมากก็ใช้ชีวิตแต่ละวันราวกับเป็นไม้ใกล้ฝั่ง เงื่องหงอย อ่อนแรง และคิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์

ใช่! ชีวิตคือความเปลี่ยนแปลง คือการลอกคราบ จากวัยเด็กสู่วัยรุ่น สู่ผู้ใหญ่ สู่คนแก่ และจบที่ความตาย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนสภาพอีกครั้งหนึ่ง
ทัศนคติต่อความชรามีสองอย่าง หากเลือกที่จะมองแต่อดีต ก็เหมือนวิ่งไล่เงาตัวเอง โหยหาแต่สิ่งสวยงามในอดีตโดยปิดกั้นสิ่งใหม่ เป็นคนแก่ที่ชอบจมตัวเองอยู่กับอดีต
หากเลือกมองอนาคต ก็เช่นการเดินเข้าหาแสงสว่าง ทิ้งเงาของตนไว้ข้างหลัง ทุกวันคือความใหม่ ชีวิตที่เหลือคือโบนัส
จะเปลี่ยนจากดักแด้เป็นผีเสื้อ หรือจะเปลี่ยนจากผีเสื้อเป็นดักแด้ก็อยู่ที่ทัศนคติของเรา

แก่ก็เป็นอิสระได้
แก่ก็ ‘ยังก์ แอท ฮาร์ต’ ได้

เมื่อนั้นวันที่ 1 มกราคมก็ไม่มีความหมายที่น่ากลัว ตรงกันข้ามกลับทำให้เราสดชื่น อยากทำเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ

ทุกวันที่ 1 มกราคม คนที่ไม่รู้สึกแก่บอกว่า “ฉันได้กำไรชีวิตมาอีกตั้งปีหนึ่ง ชีวิตที่เหลือคือโบนัส ต้องใช้ให้สะใจไปเลย!”

วินทร์ เลียววาริณ
www.winbookclub.com
12 มกราคม 2551

ปล.นักเขียนอีกหนึ่งคนที่ผมโปรดปรานเป็นอีกหนึ่งบทความดีๆที่อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นบทความที่สามารถเก็บไว้อ่านได้ในทุกๆต้นปี(555)
ที่จริงแล้วตัวเลขที่บอกอายุอาจไม่มีความหมายใดเลยก็เป็นได้คนที่อายุเยอะแต่ยังแสวงหาสิ่งใหม่ที่มีประโยชน์แก่ตนเองอยู่ตลอดอาจเปรียบเหมือนวัยรุ่นไฟแรงที่ยังต้องการสิ่งใหม่ๆให้กับตัวเอง แต่วัยรุ่นที่ใช้ชีวิตไปวันๆโดยที่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปอาจจะเปรียบเหมือนคนแก่ที่รอเวลาจะเลือนหายไปจากโลกนี้ก็เป็นได้
บางครั้งตื่นขึ้นมาเพียงได้อ่านบทความสั่นๆแค่เพียงหนึ่งบทความก็รู้สึกว่า อื่ม!วันนี้โชคดีจังที่ตื่นขึ้นมาแทนที่จะหลับต่อโดยที่ปล่อยเวลาห้ผ่านไปโดยที่ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

Monday, January 28, 2008

portfolio